ความเป็นมาของ “พระสมเด็จเกศไชโย” ผู้เขียนก็ได้อธิบายไปแล้วเมื่อฉบับวันเสาร์ที่ผ่าน วันนี้จึงขอนำท่านผู้อ่านพบกับการชี้จุดสังเกตกันเลย เพื่อจะได้ทราบพิมพ์ไหนมีข้อสังเกตที่ควรรู้เช่นไรบ้าง และก่อนจะชี้จุดสังเกตผู้เขียนขอเรียนว่า “พระสมเด็จเกศไชโย” มีการสร้างขึ้นถึง ๒ ครั้ง ดังนี้ ครั้งแรก สร้างขึ้นหลังจาก “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี” สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่เสร็จแล้วจึงสร้าง “พระพิมพ์สมเด็จเกศไชโย” ด้วยเนื้อผงขาวรูปทรง “สี่เหลี่ยมผืนผ้ายกกรอบกระจก” ที่มีทั้งพิมพ์ “๗ ชั้น ๖ ชั้น ๓ ชั้น” โดยสร้างขึ้นที่วัดระฆังแล้วนำไปบรรจุไว้ในองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่จำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ เพื่อเป็นพุทธบูชาตามคตินิยมโบราณกาลเวลาผ่านไปประมาณ ๑๐ ปี “พระพุทธรูปองค์ใหญ่” ที่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งจึงตากแดดตากฝนนานนับสิบปี ประกอบกับการก่อสร้างไม่แข็งแรงได้พังทลายลงจึงพบเห็น “พระพิมพ์สมเด็จ” ชาวบ้านที่แห่มาดูจึงหยิบฉวยเอาไปบูชาจำนวนมากครั้น “สมเด็จโต” ทราบเรื่องจึงสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นใหม่อีกพร้อมกับสร้าง “พระพิมพ์สมเด็จ” เพิ่มเติมเพื่อนำไปบรรจุไว้ในองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่ เหมือนครั้งแรกเนื่องจากพระพิมพ์ที่เหลือมีไม่ครบ ๘๔,๐๐๐องค์ และอาจจะด้วยมีเวลาที่จำกัดการสร้างพระพิมพ์ขึ้นใหม่นี้ก็ยังไม่ครบจำนวนจึงนำ “พระสมเด็จวัดระฆัง” จำนวนหนึ่งไปร่วมบรรจุไว้ด้วยเพื่อให้ครบตามจำนวนดังนั้น “เนื้อ” ของ “พระสมเด็จวัดเกศไชโย” จึงมีทั้ง “เนื้อละเอียด-เนื้อแกร่ง” และ “เนื้อน้ำมัน” (ผสมน้ำมันตังอิ้วมาก) ซึ่งวันนี้ขอชี้จุดสังเกต “พิมพ์ ๗ ชั้น” ซึ่งเป็นพิมพ์นิยมสูงสุดเป็นประเดิม
๑. “กรอบกระจก” ก็คือคำเปรียบเทียบของ “พระพิมพ์” ที่องค์พระพุทธปางสมาธิขัดราบประดิษฐานอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งก็คือ “เส้นขอบแม่พิมพ์” แต่การตัดขอบไม่ได้ตัดตามแนวเส้นขอบแม่พิมพ์ โดยตัดห่างจากเส้นขอบแม่พิมพ์จึงทำให้มีปีกทั้งสี่ด้านที่ ด้านซ้ายและขวา จะใหญ่กว่า ด้านบนและด้านล่าง อีกทั้ง “เส้นขอบด้านบน” จะไม่เป็นเส้นตรงโดยมุมเส้นขอบกระจกด้ายซ้ายองค์พระจะมีลักษณะคล้ายหัวตัว “สระโอ”
๒. “เส้นครอบแก้ว” ลักษณะคล้าย “หวายผ่าซีก” ที่ได้รูปสม่ำเสมอสวยงามส่วน “พระเกศ” (ผม) ลักษณะคล้ายกับ “ปลีกล้วย” หรือ “เปลวเทียน” ไปจรดเส้นซุ้มครอบแก้วที่หากสังเกตให้ดีจะพบว่า “พระเกศ” ของพิมพ์นี้จะไม่อยู่กึ่งกลาง “พระเศียร” (ศรีษะ) แต่เยื้องไปทางด้ายซ้ายองค์พระเล็กน้อย
๓. “พระเศียร” (ศรีษะ) ลักษณะกลมมนเล็กขณะที่ “พระกรรณ” (หู) เป็นเส้นใหญ่หนาและโค้งงอนในลักษณะพระจันทร์ครึ่งเซี้ยวจึงเป็นที่มาของคำว่า “หูบายศรี” โดยพระกรรณด้านขวาจะชิดพระพักตร์มากกว่าด้านซ้ายและปรากฏ “พระศอ” (คอ) เด่นชัดทุกองค์
๔. “พระพาหา” (แขน) ทั้งสองข้างกางออกแล้วไปหักมุมตรง “พระกัปปะระ” (ศอก) เพื่อประสานกันในท่านั่งสมาธิที่ด้านซ้ายองค์พระ นอกจากจะกางออกมากกว่าด้านขวาแล้วยังใหญ่กว่าด้านขวาเล็กน้อยอีกด้วย
๕. “พระอุระ” (อก) หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีลักษณะคล้ายกับ “รากฟันกราม” ของคนโดยพระอุระด้านซ้าย จะนูนสูงกว่าด้านขวาและเป็นที่มาของคำว่า “อกร่อง” ส่วน “พระเพลา” (ตัก) ลักษณะจะเป็นแท่งทึบที่ไม่มีการแยก “พระบาท” (เท้า) ให้เห็นเป็นข้างซ้ายและขวาอีกทั้งตรงกลางจะแอ่นโค้งเล็กๆ
๖. “ฐาน” มีทั้งหมด ๗ ชั้น โดยชั้นบนสุดนอกจากสั้นและหนาแล้ว ยังเป็นเส้นโค้งคล้ายกับท้องเรือขณะที่ ฐานชั้นที่ ๓ ลักษณะแอ่นขึ้นเล็กน้อยและปลายฐานทั้งสองข้าง ของฐานชั้นที่สองถึงชั้นที่เจ็ดลักษณะอ่อนพลิ้วทุกชั้นส่วนปลายฐานของ ฐานชั้นที่ ๑ ทั้งสองข้างมลักษณะเรียวแหลมและจรดเส้นซุ้ม
|