ผ่านไปอีกพิมพ์การชี้จุดสังเกต “พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์อกครุฑกลาง” ฉบับนี้จึงถึงคิวการชี้จุดสังเกตของ “พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์อกครุฑเล็ก” ซึ่งเป็นพิมพ์สุดท้ายของ “พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์อกครุฑ” ที่ “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี” เป็นประธานในการสร้างและปลุกเสกในช่วงระหว่างปี พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๑๕ ขณะครอง “วัดระฆัง” ตามคำอาราธนาของ “เสมียนตราด้วง” ที่จัดสร้างเมื่อครั้งบูรณะ “วัดบางขุนพรหม” ครั้งใหญ่ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดใหม่อมตรส) เพื่อบรรจุไว้ใน “เจดีย์องค์ใหญ่” ของ “วัดบางขุนพรหม” ตามคติความเชื่อของการสืบทอดพระพุทธศาสนา
สำหรับ “พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์อกครุฑเล็ก” นี้ลักษณะโดยรวมแล้วจะแตกต่างจาก “พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์อกครุฑใหญ่” และ “อกครุฑกลาง” มากมายหลายรายละเอียดเพราะ “นายช่าง” ที่สร้างสรรค์แม่พิมพ์เป็นคนละคนกับ “พิมพ์อกครุฑใหญ่” และ “พิมพ์อกครุฑเล็ก” ดังนั้นรายละเอียดต่าง ๆ จึงแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอีกทั้ง “พิมพ์อกครุฑเล็ก” นี้ก็ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนักคงเป็นเพราะ “ความสวยงาม” สู้สองพิมพ์แรกไม่ได้จึงทำการสร้างออกมาน้อยองค์ (ความเห็นของผู้เขียนเอง) ประกอบกับค่านิยมก็ต่ำกว่าสองพิมพ์แรกโดยรายละเอียดของ “พิมพ์อกครุฑเล็ก” มีดังนี้
๑. “ขอบข้าง” ทั้งสี่ด้านยังคงเอกลักษณ์ “พระสมเด็จ” คือปรากฏเส้นนูนแผ่ว ๆ (ในองค์ที่พิมพ์ติดชัด) เฉกเช่น “พระสมเด็จ” พิมพ์อื่น ๆ ทั้งของ “วัดระฆัง” และ “วัดบางขุนพรหม” ทุกประการ ส่วน “เส้นซุ้มครอบแก้ว” ลักษณะเป็นเส้นกลมแบบหวายผ่าซีกแต่มีขนาดเล็ก และไม่ค่อยเรียบร้อยคือเส้นซุ้มจะโย้ไปมาจึงทำให้ขาดความสวยงาม
๒. “พระเกศ” (ผม) มีลักษณะแบบทรงกรวยคือ “โคนใหญ่ปลายแหลม” อีกทั้งพิมพ์นี้ปลายพระเกศจะไม่จรดเส้นซุ้ม ส่วน “พระพักตร์” (หน้า) มีลักษณะเป็น
กลมนูนโดยไม่ปรากฏ “พระเนตร” (ตา) “พระนาสิก” (จมูก) และ “พระโอษฐ์” (ปาก) เฉกเช่นพิมพ์อกครุฑกลาง
๓. “พระกรรณ” (หู) ลักษณะปลายแหลมและแนบกับ “พระพักตร์” โดยปลายพระกรรณด้านบนอยู่ในลักษณะเฉียงออกด้านข้างเล็กน้อยอีกทั้งด้านซ้ายจะติดชัดกว่าด้านขวา ส่วน “พระอังสา” (ไหล่) นูนหนาเป็นเส้นตรงจึงทำให้ “พระกัจจะ” (รักแร้) เป็นซอกลึกปลายแหลม
๔. “พระอุระ” (อก) ที่ต่อเนื่องกับ “ลำพระองค์” (ลำตัว) ลักษณะเป็นรูปตัววีโดยในองค์ที่ติดชัดจะปรากฏ “เส้นสังฆาฏิ” พาดจาก “พระอังสาซ้าย” (ไหล่ซ้าย) ลงไปยัง “พระอุทร” (ท้อง) ที่ค่อนข้างนูนจรด “ฝ่าพระหัตถ์” (ฝ่ามือ)
๕. “พระพาหา” (แขน) ด้านขวาล่ำหนาใหญ่กว่าด้านซ้ายในลักษณะกางออกก่อนจะ “หักพระกัปปะระ” (หักศอก) ทั้งสองข้าง ส่วน “พระกร” (มือ) ประสานกันในท่านั่งสมาธิและ “พระเพลา” (ตัก) ลักษณะนูนหนาใหญ่และปลาย “พระชานุ” ด้านซ้ายยกสูงทั้งสองข้าง
๖. “ฐาน” สามชั้นโดย “ฐานชั้นบน” เป็นแท่งนูนหนาใหญ่ปลายทั้งสองข้างยกสูงแบบหัวเรือ ขอบข้างด้านบนปรากฏเส้นนูนเรียวเล็กยาวตลอดแนว จึงทำให้กลางฐานเป็นร่องยาวตลอดแนวเช่นกันขณะที่ “ฐานชั้นกลาง” ลักษณะเป็นสันนูนที่มีขนาดเล็กกว่าฐานชั้นบน แต่ยาวกว่าและปลายทั้งสองข้างยาวไปจรดเส้นซุ้ม ส่วน “ฐานชั้นล่าง” เป็นแท่งหนาใหญ่กว่าทุกชั้นและมีขนาดยาวเท่ากับฐานชั้นที่สอง โดยขอบบนและล่างปรากฏเส้นนูนเล็กยาวตลอดแนวและปลายฐานทั้งสองข้างจรดเส้นซุ้มเช่นกัน (ภาพประกอบจากหนังสือพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม โดย สมศักดิ์ สกุนตนาฏ).
ที่มา เดลินิวส์
|