พระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร) วัดหนองโพ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ต้นตระกูลของหลวงพ่อเดิม เป็นชาวนาตั้งรกรากมายาวนานอยู่ในหมู่บ้านหนองโพ บิดาของท่านชื่อ นายเนียม ภู่มณี เกิดที่บ้านเนินมะกอก (อยู่เลยหมู่บ้านหนองโพไปประมาณสองสถานีรถไฟ) ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินกับ นางภู่ โยมมารดา ซึ่งเป็นชาวบ้านหนองโพและย้ายมาประกอบการอาชีพอยู่ที่บ้านโพ สมัยนั้น หลวงตาชมเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองโพ
หลวงพ่อเดิม เกิดเมื่อวันพุธ แรม 11 ค่ำ เดือน 3 ปีวอก จ.ศ. 1222 ตรงกับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2403 โยมบิดาและโยมมารดาตั้งชื่อให้ว่า “เดิม” อาจหมายถึง “ประเดิม” ก็ได้ เนื่องจากท่านเป็นบุตรชายคนโตของครอบครัว แต่ชาวบ้านถือว่าชื่อยาวเกินไปจึงหดให้สั้นลงเหลือแค่ เดิม เท่านั้น
หลวงพ่อเดิม มีพี่น้องร่วมท้องดังนี้
1. นางทองคำ คงหาญ
2. นางพู ทองหนุน
3. นายดวน ภู่มณี
4. นางพันธ์ จันทร์เจริญ
5. นางเปรื่อง หมื่นนราเดชจั่น
เนื่องจาก หลวงพ่อเดิม เกิดในตระกูลชาวนาน ทำให้ตอนเด็ก ๆ ท่านได้รับการพาเข้าไปศึกษาเล่าเรียนที่วัดหนองโพ ซึ่งการศึกษาในสมัยนั้นใช้กระดานชนวน ใช้ดินสอพองเขียนตัวหนังสือ การเรียน เขียน อ่านมักจะทำเวลากลางวันเป็นส่วนใหญ่ โดยมีพระบ้าง ฆราวาสบ้าง มาช่วยกันสอนให้หัดเขียนอ่านจนคล่องแคล่ว ตกเย็นถึงกลางคืนหลังจากกลับบ้านไปกินข้าวกินปลา พระทำวัตรเย็นเสร็จก็พากันมาวัดต่อการเรียนกับพระที่วัด สิ่งที่สอนกลางคืนก็คือ การสวดมนต์บทต่าง ๆ อันเป็นพระพุทธมนต์ เช่น พระอิติปิโสถวายพรพระ และพระคาถาต่างๆ วิธีการเรียนก็คือเข้าไปหาพระตามกุฎิแล้วขอเรียน โดยท่านจะสอนให้วันละท่อนสองท่อนแล้วแต่สติปัญญาของเด็กแต่ละคน ใครหน่วนก้านดีก็ต่อมากหน่อย ใครปัญญาทึบก็สอนน้อยหน่อย ท่องต่อหน้าท่านแล้วก็กลับบ้าน วันรุ่งขึ้นก็มาใหม่ สิ่ง ที่ทุกคนได้รับคือพระอบรมขัดเกลาจิตใจให้สะอาด ไม่อวดอ้างข่มเหงใคร ให้รู้จักศีลธรรมอันดีงาม บางครั้งท่านก็เล่านิทานธรรมะให้ฟัง เช่น เรื่องในนิทานชาดกต่าง ๆ สนุกสนาน จนลืมนอนกันก็มี
ชีวิตวัยรุ่นก่อนเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร
1. ท่านชอบเลี้ยงสัตว์ ท่านชำนาญในเรื่องนกเขามาก เรียกว่าดูลักษณะและฟังเสียงได้คล่อง เข้าใจว่าเรียนมาจากนายพรานดักนกในหมู่บ้าน ท่านชอบดักนก และต่อนกเขา มีนกต่อเสียงดีหลายตัว ทำการต่อนกเขามาเลี้ยง มีบางครั้งท่านเห็นใครมีนกดีก็เอาของไปแลกกับเขา อุปนิสัยรักสัตว์ทุกชนิดมาแต่วัยหนุ่ม เมื่อบวชแล้วก็รักสัตว์และเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานไปแลกนกเขา เรื่องรักสัตว์นี้ มีเรื่องเล่าอยู่ว่าครั้งหนึ่งโยมบิดาได้ซื้อตุ้มหูระย้าให้ข้างหนึ่งให้ใส่หู ท่านได้นำตุ้มหูไปแลกนกเขา ความรู้ไปถึงหูโยมบิดามารดา จึงถูกว่าบ้าง ท่านก็ลงทุนไปเหลาเพลาเกวียนขายเพื่อรวบรวมเงินมาคืนให้โยมบิดามารดาจบครบ ไม่ยอมเสียนกเขาให้ใคร
2. ชอบโพกผ้าขาวม้าบนศรีษะ หลวงพ่อเดิมเมื่อวัยหนุ่มจะไปไหนมาไหน มักจะเอาผ้าขาวม้าโพกศรีษะ โบราณว่า คนผมหยิก หน้ากร้อ คอสั้น ฟันขาว ไม่มีใครคบ หลวงพ่อมีผมศรีษะหยิก แต่ท่านมีผิวกายขาว สูงโปร่ง หน้ายาว ศีรษะนูนผิดจากตำรา แต่เพื่อความสบายใจจึงเอาผ้าโพกเพื่อไม่ให้ถูกล้อเลียน
3. ไม่ยึดติดในโลกีย์ หนุ่มสาวยุคนั้นมักจะไปร่วมงานต่าง ๆ เช่น ช่วยบ้านสาวปั่นด้าย ทอผ้า ช่วยทำนา ช่วยทำงานรอบกองไฟในเวลากลางคืน เพื่อหมายตาสาว ๆ ไว้เพื่อเป็นคู่หมั้นคู่หมาย เรียกว่า มีโอกาสก็เกี้ยวพาราศีกันตามทำนอง อยู่ในศีลธรรมอันดี แต่หลวงพ่อเดิมไม่ชอบ ในระหว่างที่หนุ่มสาวเขานั่งคุยกัน ช่วยกันทำงาน หลวงพ่อจะทำบ้างก็คือ มักจะแอบเข้าไปใกล้ ๆ แล้วเอาก้อนดินบ้าง คันยิงกระสุนบ้าง หรือท่อนไม้บ้าง มาปาใส่กองไฟ เพื่อให้เขาตกใจเอะอะกันวุ่นวาย ท่านก็ชอบใจแอบไปหัวเราะคนเดียวใคร ๆ เขาก็รู้ว่าเป็นฝีมือท่านเขาก็ให้อภัย เพราะรู้ว่าท่านชอบสนุกและไม่มีเจตนาจะทำให้ใครโกรธจริงจัง
4. เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากวัยรุ่น เมื่อท่านเป็นวัยรุ่น ไม่ได้เล่าเรียนมาก่อน แต่หากเรียนทีหลัง เมื่อบวชแล้ว อาศัยศึกษาจากประสบการณ์ทั้งด้านช่าง การเลี้ยงสัตว์ การทำของต่าง ๆ
สรุปหลวงพ่อเดิมนิสัยแปลกกว่าคนธรรมดาทั่วไป ไม่ติดหรือหลงมัวเมาในกิเลสความรักของหนุ่มสาวในวัยอันสมควร ไม่ยินดียินร้ายในโลกีย์ จึงเป็นสาเหตุให้ท่านบวชตลอดชีวิต โดยไม่ได้เคยมีความรักมาก่อนเลยในชีวิต เรียกว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องมาก่อนจะเข้าอุปสมบท คาดว่าเป็นเพราะบุญเก่าเกื้อหนุนให้ท่านเดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจวบจนสิ้นอายุขัย
บั้นปลายชีวิตของหลวงพ่อเดิม
หลวง พ่อเดิม เป็นเสมือนต้นโพธิ์และต้นไทรที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไป เป็นที่พึ่งพาอาศัยของประชาชนไม่เลือกชนชั้น เนื่องจากหลวงพ่อมีอายุยืนยาวมาก บรรดาศิษยานุศิษย์รุ่นผู้ใหญ่ซึ่งเคยติดสอยห้อยตามและร่วมงานร่วมการกันมา ต่างล้มหายตายจากไปก่อนหลวงพ่อเกือบหมด
ครั้น ต่อมาราว 10 กว่าปี ก่อนหลวงพ่อมรณภาพ ร่างกายของหลวงพ่อ ซึ่งใช้กรากกรำทำสาธารณประโยชน์มาช้านานหลายสิบปี ก็ทรุดโทรมจนแข้งขาเดินไม่ได้ จะลุกนั่งก็ต้องมีคนพยุง จะเดินทางไปไหนก็ต้องขึ้นคานหาม หรือขึ้นเกวียนไป
แม้ กระนั้นก็ยังมีผู้เลื่อมใสศรัทธามานิมนต์หลวงพ่อไปในงานการบุญกุศลบ่อย ๆ เพราะหลวงพ่อมีศิษยานุศิษย์มากทั่วบ้านทั่วเมือง หลวงพ่อปรารภว่าถ้าท่านแตกดับลง บรรดาหลานเหลนและศิษยานุศิษย์ในตำบลหนองโพและหมู่บ้านใกล้เคียงจะได้รับความ ลำบาก หลวงพ่อจึงได้ปรารภถึงความตายให้เห็นประจักษ์ สิ่งใดควรจัดทำขึ้นไว้ได้ก่อนท่านแตกดับ หลวงพ่อก็ให้จัดทำเตรียมไว้ เช่น สร้างหีบบรรจุศพของท่านเองและให้ก่อสร้างตัวเมรุที่เผาศพของท่านไว้ด้วย แต่บังเอิญตัวเมรุทำล่าช้ามาก ไม่ทันเสร็จหลวงพ่อก็มรณภาพก่อน
สิ้นสูญเทพเจ้าเมืองปากน้ำโพ
ว่า กันว่าในช่วงบั้นปลายชีวิตของหลวงพ่อเดิม แข้งขาของหลวงพ่อทานน้ำหนักตัวไม่ได้ หูก็ตึงไปบ้าง แต่นัยน์ตายังแจ่มใส มือก็ยังลงเลขยันต์ได้ปกติ ปากก็ยังเสกเป่าและเจรจาปราศรัยได้ดี โดยมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ตลอดมา
หลังที่หลวงพ่อกลับจากเป็นประธานในงานก่อสร้างโบสถ์ในวัดอินทาราม (วัด ใน) ตำบลพยุหะ อำเภอพยุหะดีรี จังหวัดนครสวรรค์ และกลับมาอยู่ในวัดหนองโพ หลวงพ่อก็เริ่มอาพาธ ตั้งแต่วันอังคาร ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 (ตรงกับวันที่ 15 พฤษภาคม) พ.ศ. 2494 อาการทรุดลงเป็นลำดับ
จนถึงวันอังคาร แรม 2 ค่ำ เดือนเดียวกัน วันที่ 22 พฤษภาคม อาการท่านทรุดหนักมากขึ้น ศิษยานุศิษย์และหลานเหลนมาห้อมล้อมและเฝ้าอาการเนืองแน่น ครั้นตกบ่ายวันนั้น หลวงพ่อก็สอบถามบ่อย ๆ ว่า “เวลาเท่าใดแล้ว” ศิษย์ผู้พยาบาลก็กราบเรียนตอบไปๆ จนถึงราว 17.00 น. หลวงพ่อจึงถามว่า “น้ำในสระมีพอกินกันหรือเปล่า” เพราะบ้านหนองโพมักกันดารน้ำ ศิษย์ก็เรียนว่า “ถ้าฝนไม่ตกภายใน 6-7 วันนี้ ก็น่ากลัวจะถึงกับอัตคัดน้ำเป็นแน่” หลวง พ่อก็นิ่งหลับตาไม่ถามอะไรอีก เพียงไม่นานกลุ่มเมฆก็ตั้งเค้าและพายุฝนก็ตกห่าใหญ่ น้ำฝนไหลลงสระราวครึ่งค่อนสระ พอฝนขาดเม็ด หลวงพ่อก็สิ้นลมหายใจมรณภาพเมื่อเวลา 17.45 น. สิริอายุได้ 92 โดยปี อุปสมบท 71 พรรษา
ศิษยานุศิษย์ ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ได้ช่วยกันสรงน้ำศพหลวงพ่อ บรรจุศพ ตั้งบำเพ็ญกุศล ณ วัดหนองโพ ตั้งแต่วันรุ่งขึ้น (เว้นที่ 23 พฤษภาคม) ติดต่อมาครบ 7 วัน เมื่อวันที่ 29พฤษภาคม แล้วก็ทำติดต่อมาอีกและทำบุญครบ 50 วัน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ทำบุญครบ 100 วัน เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2494 จึงเก็บศพหลวงพ่อรอเวลาพระราชทานเพลิงอย่างสมเกียรติ
หลวงพ่อเดิม ได้รับการขนานนามว่า “เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว” หรือปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ ด้วยความเปี่ยมล้นด้วยเมตตา อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาสาธารณชนจนได้รับการเคานับถือ จากลูกศิษย์และผู้ศรัทธาทั่วประเทศไทย
วัตถุมงคลของหลวงพ่อเดิม ท่านสร้างไว้มากมายหลายรุ่นที่ได้รับความนิยมมาก ๆ คือ "มีดหมอเทพศาสตรา" ซึ่ง ทำแบบมีดควาญช้าง มีดหมอแบบพกพาและแบบปากกา สร้างชื่อเสียงจากประสบการณ์จนโด่งดังทั่วประเทศ ปัจจุบันหายากและสนนราคาเช่าบูชาสูงมาก นอกจากนี้ยังมีเหรียญ รูปหล่อ พระงาแกะ นางกวักงาแกะ สิงห์งาแกะ ตะกรุด ผ้ายันต์ และผ้ารอยเท้า
|